Last updated: 27 ต.ค. 2556 | 13783 จำนวนผู้เข้าชม |
ราชพฤกษ์+งานบอลลูนนานาชาติ 2554
ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นปี 2554 ว่าปลายปีจะมาเที่ยวพักผ่อนที่เชียงใหม่โดยจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าและที่พักไว้แล้ว พอดีกลางปีมีข่าวว่าจะมีงานราชพฤกษ์ปี 2554 ในช่วง 9 ก.ย.54-15 ก.พ.55 ปะเหมาะกับช่วงที่จะไปเที่ยวเลยจองบัตรเข้างานไว้ล่วงหน้า พอใกล้เข้ามางานกลับเลื่อนไปเป็นวันที่ 16 ธ.ค.54-14 มี.ค.55 อันเนื่องจากอุทกภัยหรืออะไรก็แล้วแต่ยังไงงานระดับชาติก็ไม่น่าทำกันเลย แต่ก็ไม่เป็นไรคนซื้อบัตรล่วงหน้าไว้เค้าให้เข้าชมแต่ไม่เต็มรูปแบบ อ่ะเรามาเริ่มทริปกันเลยค่ะ
วันแรก ออกเดินทางด้วยสายการบินสีแดงไปถึงเชียงใหม่ประมาณบ่าย 3 โมง ตามที่ได้ดูทำเลและเลือกโรงแรมไว้แล้วเราก็ออกจากสนามบินด้วยแท็กซี่เข้าเมือง 120 บาท/เที่ยว พร้อมคนขับ(Toyota Camry เชียว) ไปที่ At Pingnakorn Hotel นิมมานเหมินทร์ซอย 12 (จองผ่าน Agoda รวม Service Charge แล้วประมาณ 1,200 บาท/คืน พร้อมอาหารเช้า 2 ท่าน) ประทับใจเรื่องของการตกแต่ง สวยงามลงตัว และอาหารเช้าหลากหลายที่มีน้ำพริกหนุ่ม แค็ปหมู ไส้อั่ว หมูปิ้ง ข้าวเหนียว ให้กินอย่างไม่อั้น
อ่ะก็ต้องออกตัวไว้ก่อนเลยว่าเป็นทริปสาวๆ ก็เน้นกิน กิน กิน ถ่ายรูป และ Shopping
หลังจากขนสัมภาระขึ้นห้องพักกันแล้ว ก็ออกไปสำรวจเดินเล่นกันแถวถนนนิมมานเหมินทร์ ซอยใกล้เคียงดูซิว่ามีอะไรน่าสนใจกันบ้าง เดินออกจากโรงแรมไปถึงปากซอยนิมมาน 12 เลี้ยวซ้ายเดินไปฝั่งซอยเลขคู่ย้อนขึ้นไปทางซอยต้นๆ ผ่าน Yesterday ไปก็ไปสะดุดตากับร้านขายเครื่องประดับชื่อ Pink Pussy Outlet ที่ตกแต่งร้านด้วยสีชมพูจ๋า ภายในมีเครื่องประดับหลากหลาย ราคาก็ปานกลางไม่ถึงกับแพงมาก ได้สร้อยข้อมือมา 1 ชิ้น
แล้วก็เดินต่อไปเรื่อยๆแถวหน้านิมมาน ซอย 4 ก็เจอกับ Market Street ย่อมๆ ชื่อ Nimman Promenade ซึ่งมีร้านกาแฟวาวีอยู่ด้านหน้า มองเข้าไปมีร้านขายของตกแต่งน่ารัก มีร้านเสื้อผ้า อ่ะเดินเข้าไปสำรวจซะหน่อย
แล้วข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามที่นิมมานซอย 5 ก็เป็นลักษณะ Market Street คล้ายๆกัน ชื่อ De Marche' มีร้านเค้กเล็กๆน่านั่งบรรยากาศดีอยู่ด้านหน้าชื่อ Cheese&Cake, มีร้าน Teddy House มองเข้าไปมีแต่ Teddy Bear น่ารักทั้งนั้น ด้านในมีร้านกาแฟอีกร้าน ชั้นบนก็มีร้านแต่เย็นแล้วเค้าก็ปิดกันแล้ว อันเนื่องจากเวลาใกล้ค่ำแล้วท้องร้องเลยลองเดินเข้าไปในร้าน Cheese&Cake เพราะเห็นมีป้ายอาหารด้วย ปรากฎว่าเค้าพึ่งเลิกจำหน่ายอาหาร มีเฉพาะเค้กกับเครื่องดื่มเลยไม่ได้ลอง ได้แต่เก็บภาพมาฝากกัน ไว้โอกาสหน้าจะมาลองให้ได้ แต่ตอนนี้หิวสุดๆต้องหาอาหารจานหลักก่อน
เดินกันต่อไปเรื่อยๆทางด้านฝั่งซอยเลขคี่ มาถึงนิมมานซอย 9 เห็นป้ายร้านบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างอยู่ 2 ร้าน เอาละหิวได้ที่เดินดิ่งเข้าไปในซอยลึกพอสมควรประมาณเกือบ 200 เมตรได้เจอร้านอยู่ทางขวามือชื่อ Yufuku เข้าไปพิสูจน์เลย บุฟเฟ่ต์ให้เวลา 2 ชั่วโมงสั่งได้ไม้อั้น มีกุ้ง ปลาหมึก ปลาแซลมอน เนื้อ และหมู ราคา 379 บาท รวมน้ำดื่มที่เลือกได้ว่าจะเป็นเป๊ปซี่ ชาเขียว หรือ อื่นๆ สุดท้ายมีไอศครีมให้ทานด้วยค่ะ รสชาติโอเคเลย มีน้ำจิ้ม 2 แบบ หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ตัวใหญ่สดดี ถามเจ้าของร้านบอกว่าเปิดมาได้ 3 เดือนแล้ว ใครชอบแนวนี้ก็มาลองกันได้นะคะ
กินอิ่มแล้วเราก็ไปเดินย่อยกันต่อโดยเรียกตุ๊กตุ๊ก เหมาไป 60 บาท จุดหมายปลายทางคือ กาดหน้ามอ มีร้านทำเล็บ มีเสื้อผ้าสวยๆ รองเท้า กระเป๋า mix&match กันไป ตลาดนี้เค้ามีทุกวันตั้งแต่ 18.00-24.00 น. สาวๆก็ช้อปกันเพลินไปเลยค่ะ
ยังไม่พอเดินกันต่อเมื่อออกจากกาดหน้ามอเลี้ยวซ้าย เดินย้อนมาทางด้านแยกรินคำตลอดทางก็จะมีร้านขายของไปเรื่อยจนเจอ มาลิน เรสซิเดนซ์ และมาลิน พลาซ่า ซึ่งก็มีตลาดนัดเหมือนกัน เสื้อผ้าสวยๆราคาไม่แพง ของทำมือ เครื่องประดับ เดินกันไปช้อปกันไป ทั้งคนทำงานทั้งนักศึกษาม่วนอกม่วนใจได้ของสวยๆราคาย่อมเยาว์
ยังไม่พอเดินต่อไปอีกประมาณ 2 ไฟแดง แถวแยกรินคำเจอ กาดรินคำ แนวเดียวกันอีกก็เดินกันอีก ก็ม่วนอกม่วนใจกันไป
มีรถมอเตอร์ไซด์จอดเยอะมากคงเป็นที่รวมพลของคนที่มาหาซื้อของกินของใช้กัน ได้ของพอใจแล้วก็เรียกตุ๊กตุ๊กกลับเช่นเคย 60 บาท เข้าซอยไปจอดถึงหน้าโรงแรมกันเลย
วันที่ 2 เริ่มด้วยบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าที่ถูกใจมากเพราะเวลามาเชียงใหม่จะต้องหาซื้อน้ำพริกหนุ่มและแค็ปหมูมากินส่วนตัวให้หายอยากก่อน แต่พักที่นี่ไม่ต้องซื้อเลยค่ะมีให้รับประทานทุกเช้าชอบมากๆ มีหมูปิ้งข้าวเหนียวให้กินด้วยชอบๆ
อิ่มกันแล้วเราก็เดินออกไปปากซอยไปเรียกรถแดงคิดราคาคนละ 40 บาท ไปทำบุญไหว้พระที่ วัดเจดีย์หลวง ทำบุญไหว้พระ เข้าไปกราบนมัสการหุ่นท่านพระอาจารย์มั่น ภูริตฑัตโต สบายใจแล้วก็เดินถ่ายรูปมาฝากกันค่ะ
วัดเจดีย์หลวง (ประวัติโดยย่อ)
เป็นวัดเก่าแก่ในจังหวัดเชียงใหม่ มีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ ราชกุฏาคาร วัดโชติการาม สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าแสนเมือง กษัตริย์ลำดับที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย ไม่ปรากฏปีที่สร้างแน่ชัด สันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้น่าจะสร้างในปี พ.ศ. 1928-พ.ศ. 1945 วัดเจดีย์หลวงเป็นพระอารามหลวงแบบโบราณ พระเจดีย์ ปัจจุบันมีขนาดความกว้างด้านละ 60 เมตร เป็นองค์พระเจดีย์ที่มีความสำคัญที่สุดองค์หนึ่งในเชียงใหม่ พระเจ้าแสนเมืองสร้างเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้พญากือนา พระราชบิดา แต่สร้างไม่เสร็จ ได้เสด็จสวรรคตเสียก่อน ต่อมาพระนางเจ้าติโลกจุฑาราชเทวี พระมเหสีของพญาเมืองมาก่อสร้างต่อจนแล้วเสร็จในรัชสมัยพญาสามฝั่งแกน เรียกกันว่า “กู่หลวง” พญาติโลกราช โปรดให้หมื่นด้ามพร้าคตเป็นนายช่างใหญ่ดำเนินการปฏิสังขรณ์รพระเจดีย์หลวง ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2021 ในรัชสมัยพระเจ้ายอดเชียงรายได้ปิดทองภายในซุ้มจรนัมของพระเจดีย์ หลวงทั้ง 4 ด้าน
ในรัชสมัยพระเจ้าเมืองแก้ว เมื่อ พ.ศ. 2046 ได้โปรดให้สร้างหอพระแก้ว และอัญเชิญพระแก้วมรกตลงมาประดิษฐาน สร้างมหาวิหาร ส่วนการบูรณะพระเจดีย์หลวงได้ดำเนินการเพียงเล็กน้อย
ในที่สุดเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ในปีพ.ศ. 2088 ในรัชสมัยพระนางเจ้ามหาเทวีจิรประภา ยอดพระเจดีย์หลวงก็พังทลายลงมา เหลือให้เห็นดังสภาพปัจจุบัน (ก่อนการบูรณะของกรมศิลปกร)
การประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ได้รับการประกาศเป็นโบราณสถานสำหรับชาติ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 0ง วันที่ 8 มีนาคม 2478 พร้อมกับวัดอีกหลายแห่งในจังหวัดเชียงใหม่
ช้างรอบมหาเจดีย์หลวงที่พระนางเจ้าติโลกจุฑาราชเทวีทรงก่อสร้างนั้น พระนางทรงให้ยกฉัตรยอดมหาเจดีย์ แล้วปิดด้วยทองคำ พร้อมทั้งเอาแก้ว 3 ลูก ใส่ยอดมหาเจดีย์นั้นไว้ ประดับด้วยโขงประตูทั้ง 4 ด้าน มี พระพุทธรูปปูนปั้นประทับนั่งในโขงทั้ง 4 ด้าน มีรูป พญานาคปั้นเต็มตัว 8 ตัว ตัวละ 5 หัว อยู่ใน 2 ข้างบันได รูปปั้นราชสีห์ 4 ตัว ตั้งอยู่ตรงสี่มุมของมหาเจดีย์ มีรูปปั้นช้างค้ำรายล้อมรอบองค์เจดีย์หลวงนั้นมี 28 เชือก
แล้วเราก็ไปต่อกันเลยที่ งานราชพฤกษ์ 2554 โดยเรียกรถแดงหน้าวัดเหมาไป 200 บาท ตอนแรกก็กะจะไปตอนเย็นแต่เนื่องมาจากมีโปรแกรมแทรกกะทันหัน ได้ข่าวว่ามีงานบอลลูนนานาชาติที่จัดตอนเย็น เลยต้องเลือกไปงานราชพฤกษ์ตอนแดดเปรี้ยงไปถึงประมาณ 11 โมง ด้านหน้ากำลังตกแต่งอยู่เลยค่ะ เอาบัตรไปยื่นเข้างานเข้าก็ขออภัยที่เลื่อนงานทำให้เราดูชมไม่เต็มที่และชดเชยด้วยการให้บัตรฟรีมาอีก 2 ใบให้กลับมาใหม่วันไหนก็ได้แต่ต้องไม่ใช่วันเสาร์ อาทิตย์ และหยุดนักขัตฤกษ์ ก็เอาไปก่อนเนอะดีกว่าไม่คิดจะให้อะไรชดเชยเลย ไม่บ่นแล้วไปเดินดูสวนสวยๆดีกว่า จุดแรกเลยร้านของที่ระลึกเข้าไปดับร้อนก่อน มีของที่ระลึกน่ารักมากมาย
เดินต่อเข้ามาบริเวณด้านหน้ามีตุ๊กตาน้องคูณ ลมบิน ดินฉ่ำ น้ำใส และไออุ่น น่ารักมากมายอยู่ก็ต้องขอถ่ายรูปคู่กะเค้าซะหน่อย เดินต่อเข้าไปก็มีจุดให้ซื้อบัตรขึ้นรถได้ 1 รอบ จอดให้ขึ้นลงเป็นจุดๆ ราคา 30 บาท/คน
นั่งรถวนไปตามลูกศรสีแดง จุดแรกไม่มีใครลงเนื่องจากออมแรงเพราะแดดแรงเหลือเกินเลยได้แต่เก็บภาพหน้าซุ้มหน่วยงานและบริษัทต่างๆมาค่ะ โซนนี้จะมีโตโยต้า นมไทย-เดนมาร์ค กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเครือเจริญโภคภัณฑ์ซึ่งภายในมีนิทรรศการให้ชม
เราก็ลงกันที่จุดนี้เพราะมีสวนกล้วยไม้ที่ชื่นชอบนั่นเอง เดินเข้าไปก็มีกล้วยไม้สวยงามนานาพรรณพร้อมธารน้ำตกจำลอง ถ่ายรูปดอกไม้สวยๆ ทำให้สดชื่นลืมอากาศร้อนไปเลยค่ะ เฉพาะจุดนี้ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง
แล้วเดินทะลุไปด้านหน้าที่ตรงกับทางไปหอคำหลวงจะเจอลานต้นคริสมัตที่เตรียมจัดแสดงไฟไว้ยามค่ำคืน จุดนี้ท่าทางจะสวยน่าดูถ้ามาตอนกลางคืนเสียดายจัง ถ้าใครได้มาก็มาบอกเล่าแชร์กันบ้างนะคะ ดูลักษณะจากไฟและส่วนประกอบอื่นๆแล้วน่าจะเป็น Concept แบบว่าสวนดอกไม้และแมลง เดินถัดไปเป็นต้นโพธิ์แห่งความจงรักภักดี และวิวทางเดินดิ่งตรงไปหอคำหลวงแบบไกลๆ ค่ะ
แล้วเราก็เดินกลับไปจุดจอดกล้วยไม้เพื่อรอรถ ไม่มาซะทีเลยเดินเล่นเรื่อยเปื่อย ผ่านสวนอิหร่าน สวนแอฟริกัน บางกอกแอร์เวยส์ สวนเกาหลี แล้วไปเจอสวนแมลงให้เข้าไปพักร้อนภายในมีน้ำตกจำลอง มีต้นไม้ดอกไม้เพื่อให้แมลงและผีเสื้อบินโชว์ให้เราดูกัน ในตู้จัดแสดงแมลงต่างๆ หายร้อนมองออกไปรถมาพอดีก็ขึ้นรถไปต่อกันค่ะ ผ่านสวนภูฏาน เคนยา จีน ลัดเลาะมาเห็นหอคำหลวงไกลๆ และเห็นเหมือนวงชิงช้าสวรรค์ป่าวไม่แน่ใจไว้สำหรับให้นั่งชมกันรึเปล่าน้า
แล้วเราก็มาลงจุดหอคำหลวง นั่งพักกินน้ำกินขนมกันให้หายเหนื่อย เดินขึ้นไปถ่ายรูปกับหอคำหลวง เสียดายอีกแล้วไม่เปิดให้เข้าไปภายใน เดินลงมาถ่ายรูปกับสวนดอกไม้ด้านข้างหอคำหลวง แล้วเดินย้อนกลับไปเล็กน้อยเจอสวนเวียดนาม เข้าไปสวนเนเธอร์แลนด์ เข้าไปดูก็ยังไม่มีทิวลิป มีแต่เตรียมๆไว้ มีพร็อบประตูหน้าต่างกับกังหันให้ถ่ายรูปไปพลางๆ ออกมาใกล้ๆกันเป็นสวน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ของมาเลเซียทำดีนะคะลักษณะเหมือนบ้านเข้าไปหลบร้อนได้ มีน้ำตกจำลองด้วย
แล้วเราก็เดินกลับมารอรถป้ายหอคำหลวง เพื่อนั่งต่อไปยังส่วนอื่นเผลอแป๊บเดียวเวลาผ่านไปเกือบบ่ายสองโมงเลยคิดว่าสู้แดดไม่ไหวคงไม่ลงจุดไหนแล้วอีกอย่างสู้มาตั้งแต่ 11 โมงแล้วมา เลยกะไปลงจุดสุดท้ายเลยก็ได้แต่เก็บภาพหน้าจุดต่างๆมาให้ดูกันค่ะเผื่อใครสนใจเข้าไปแวะชม ก็ประกอบไปด้วย เรือนร่มไม้ ที่แสดงสัตว์น้ำของกรมประมง เรือนพืชทะเลทราย โดมไม้เขตร้อน สวนไม้ชุ่มน้ำ มีสวนที่มีตุ๊กตาล้มลุกแต่งตัวแบบต่างๆด้วย ใครมาอย่าพลาดลงไปถ่ายรูปกันนะคะ ต่อไปเป็น สวนไทย สวนสมุนไพร หมู่บ้านไทย 4 ภาค และลานกิจกรรมหน้าทางเดินไปหอคำหลวง สวนต่างๆที่บอกไปอยู่ในร่มหลายจุดก็สามารถเป็นจุดพักร้อนกันได้ค่ะ ก็ถือว่าคุ้มค่ากับราคาบัตร 100 บาท พื้นที่จัดแสดงมากมายต้องเตรียมการกันหลายเดือนทั้งแรงคนงบประมาณมากมายแม้จะไม่ได้ชมทุกจุดแต่ได้ไปจุดที่ชอบอย่างกล้วยไม้ และหอคำหลวง ใครมาได้ชมงานแบบเต็มรูปแบบก็คงจะยิ่งประทับใจกันไปอีกนะคะ
ออกมาโชคดีเจอรถแดงเหมากลับมา 150 บาท จุดหมายของเราอยู่ที่ ร้านกาแฟวาวี นิมมานซอย 7 ค่ะ มาคลายร้อนกันต่อด้วยชาเย็น กาแฟ และคาราเมลชีสเค้กรองท้องกันหน่อย แล้วเดินกลับโรงแรมเพื่อไปอาบน้ำ ชาร์ตแบตเตอรี่กล้อง เพื่อไปตะลุยต่อที่งานบอลลูน
เรียกรถแดงไปโรงเรียนปรินซ์รอยแยลส์วิทยาลัย แถวสะพานนวรัฐ 40 บาท/คน การจราจรติดขัดพอสมควร แล้วเราก็มาถึง งานบอลลูนนานาชาติ หรือ Thailand International Balloon Festival 2011 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-27 พฤศจิกายน 2554 ที่สนามจามจุรีของโรงเรียนแห่งนี้ กำหนดการ 5 โมงเย็นปล่อยบอลลูน ต่อด้วยการแสดงของวงโยธวาธิต 18.20 น. กิจกรรมปล่อยบอลลูนผูกยึดอยู่กับที่ และ 19.00 น. การแสดงแสงสีเสียง โชว์พิเศษ ตอนไปถึงก็หกโมงกว่าๆ ได้ดูการปล่อยบอลลูนยึดกับที่และวงโยธวาธิตของน้องๆ ราคาค่าบัตรเข้าชมซื้อหน้างานได้เลยค่ะ 50 บาท/คน คุ้มค่าเพราะอยากมาอยู่แล้วงานแบบนี้ บรรยายด้วยภาพกันเลยดีกว่า
จากนั้นประมาณทุ่มกว่าก็มีภาระกิจต้องไปเดินซื้อของฝาก เรียกรถแดงหน้าโรงเรียนไป ไนท์ บาร์ซาร์ กันต่อคนละ 40 บาท เดินจากฝั่งหน้ากาแล ไนท์บาร์ซาร์ ไปยังตลาดอนุสาร เดินเล่นตลาดอนุสารแล้วซื้อน้ำพริกหนุ่มพร้อมแค็ปหมูเป็นของฝาก แล้วเดินออกมาข้ามถนนเดินไปจนผ่านหน้าไนท์ บาร์ซาร์ จนสุดถนนแล้วเรียกรถแดงกลับไปนิมมานซอย 12 กัน บรรยากาศย่านไนท์ บาร์ซาร์ ยังคงมีเสน่ห์สำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เก็บภาพมาฝากกันค่ะ
มาลงรถหน้าปากซอยนิมมาน 12 ข้ามถนนไป Sahara Pub เข้าไปจิบเครื่องดื่มเย็นและหาอะไรรองท้องก่อนเข้านอนเล็กน้อย เครื่องดื่มเป็น Mojito และ Sahara Fantasy อาหารก็สั่งยำหมูยอมาลองกินอร่อยมากแต่ก็เผ็ดสะใจกันไปเลยค่ะ
วันที่ 3 เริ่มด้วยอาหารเช้าโรงแรมที่ไม่เบื่อแค็ปหมู น้ำพริกหนุ่ม หมูปิ้ง ข้าวเหนียว ขนมไทย และผลไม้ อิ่มสบายท้อง แล้วเราก็เดินออกไปเรียกรถแดงคนละ 20 บาท ไปทำบุญไหว้พระขอพรกันที่ วัดสวนดอก กันเลย เข้าไปไหว้พระในโบสถ์หลังใหญ่ แล้วเดินออกมาด้านข้างจะมีกลุ่มเจดีย์สีขาวขนาดย่อมๆ เป็นกู่เจ้านายเหนือที่อยู่รวมกันหลายท่าน
วัดสวนดอก(ประวัติโดยย่อ)
วัดสวนดอกในอดีตนั้นป็นสวนดอกไม้ (ต้นพยอม) ของเจ้านายฝ่ายเหนือใน ราชวงศ์เม็งราย โดยในปี พ.ศ. 1914 (ศักราชนี้ถือตามหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ของพระรัตนปัญญาเกตุ) พระเจ้ากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่ง ราชวงศ์เม็งราย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็น "พระอารามหลวง" เพื่อให้เป็นที่จำพรรษาของ "พระมหาเถระสุมน" ผู้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ในแผ่นดินล้านนา และสร้างองค์พระเจดีย์เพื่อประดิษฐาน "พระบรมสารีริกธาตุ" 1 ใน 2 องค์ ที่ "พระมหาเถระสุมน" อัญเชิญมาจากสุโขทัย ในปี พ.ศ. 1912 (องค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ในพระเจดีย์ ใน วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร)
พ.ศ. 2429 ในสมัย ราชวงศ์เม็งราย วัดสวนดอก มีความเจริญรุ่งเรืองมาก แต่หลังจากสิ้น ราชวงศ์เม็งราย บ้านเมืองตกอยู่ในอำนาจพม่า ทั้งเกิดจลาจลวุ่นวาย วัดนี้จึงกลายสภาพเป็นวัดร้างไป วัดสวนดอก ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่อีกครั้ง ในรัชสมัย พระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ แห่งราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน) และได้รับการทำนุบำรุงจาก เจ้านายฝ่ายเหนือ และประชาชนเชียงใหม่มาโดยตลอด
วัดสวนดอก ต่อได้รับการบูรณะครั้งสำคัญ 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2450 พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญรวบรวมพระอัฐิ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ และ พระประยูรญาติ มาประดิษฐานรวมกัน และต่อมาอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2475 เป็นการบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระวิหารโดย ครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา
พระเจดีย์ใหญ่ทรงลังกาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1914 ในรัชกาลของพระเจ้ากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่ง ราชวงศ์เม็งราย โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง "พระอารามหลวง" โดยโปรดเกล้าให้สร้าง "พระเจดีย์ทรงลังกา" ขึ้นเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่พระมหาเถระสุมนได้อัญเชิญมาจากสุโขทัย ในปี พ.ศ. 1912 ซึ่งแต่เดิมมีเจดีย์แบบสุโขทัย (ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์) อยู่ทางทิศตะวันตกขององค์พระเจดีย์ใหญ่ แต่ได้ปรักหักพังลง พระเจดีย์องค์ใหญ่สูง 24 วา ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 52 ตอนที่ 75 ลงวันที่ 8 มีนาคม 2478
กู่บรรจุพระอัฐิพระราชชายา เจ้าดารารัศมีกู่เจ้านายฝ่ายเหนือ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2450 โดยพระดำริใน พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้านายฝ่ายเหนือใน ราชตระกูล ณ เชียงใหม่ ซึ่งทรงเห็นว่าทำเลที่ตั้งของวัดสวนดอกกว้างขวาง จึงโปรดให้อัญเชิญรวบรวมพระอัฐิของ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ และ พระประยูรญาติ มาประดิษฐานรวมกัน ณ ที่นี่ รวมทั้งได้ประทานทรัพย์ให้การทำนุบำรุงมาโดยตลอดพระชนม์ชีพ หลังจาก พระราชชายา เจ้าดารารัศมี สิ้นพระชนม์ ได้มีการแบ่งพระอัฐิของพระองค์มาประดิษฐานไว้ ณ กู่เจ้านายฝ่ายเหนือ แห่งนี้ (อีกส่วนหนึ่งแบ่งประดิษฐานไว้ใน สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร) ปัจจุบัน กู่เจ้านายฝ่ายเหนือ แห่งนี้ ได้ถูกจดทะเบียนให้เป็นโบราณสถานสำคัญ ภายใต้การกำกับดูแลของกรมศิลปากร ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ตอนที่ 75 ลงวันที่ 8 มีนาคม 2478
การประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานวัดสวนดอก ได้รับการประกาศเป็นโบราณสถานสำหรับชาติ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 0ง วันที่ 8 มีนาคม 2478 พร้อมกับวัดอีกหลายแห่งในจังหวัดเชียงใหม่
ไหว้พระเสร็จ 10 โมงเองมีเวลาก่อนต้องเช็คเอ้าท์ นั่งรถแดงกลับไปคนละ 20 บาท กลับไปที่นิมมานซอย 12 ไปสำรวจโรงแรมใกล้ๆที่พักดีกว่าท่าทางดูดีหรูหราไม่เบา The Kantary Hotel & Service Apartment ดูมีห้องเยอะอยู่ เข้าไปเดินสำรวจตรงฟร้อนท์ ไปเช็คราคาห้อง ก็เลยทราบว่า Kantary Hotel มีหลายที่เป็นเครือเดียวกับ Cape Nidhra (เคป นิทรา หัวหิน) นั่นเอง แล้วก็เข้าไปที่ Bakery Shop ของโรงแรม มีเค้กสวยๆ คุกกี้น่าทานและไอศครีม
ถามพนักงานเค้าบอกว่ามีร้าน Bakery อีกที่ตรงหน้าปากซอยที่เป็น Mall เล็กๆ ชื่อ Kantary Terrace เลยเดินออกมาพิสูจน์กันที่ปากซอยนิมมาน 12 Kantary Terrace ยังตกแต่งไม่เสร็จดี มีร้านเครื่องดื่มที่ขายตอนกลางคืน มีร้าน Kantary Bakery ร้านภูฟ้า ร้านดอยคำ เท่าที่เห็นป้ายมีเท่านี้แต่เสร็จแล้วอาจะมีเพิ่มเติม เลยเก็บบรรยากาศของ Kantary Terrace มาฝากและได้เข้าไป Kantary Bakery เห็นมีเมนูโปรโมชั่นลด 10% สำหรับ Honey Toast หน้าตาเหมือนกับ Shibuya Honey Toast ของร้าน After you ก็เลยสั่งมาลองทาน รสชาติดีขนมปังด้านในนุ่มหอมเนย แต่ถือว่ายังห่างชั้นกับ After you เพราะรู้สึกว่าขนมปังส่วนขอบด้านนอกยังค่อนข้างแข็งไปนิดนะคะ อันนี้ไม่รู้ว่าเป็นที่ขนมปังหรือเป็นที่อุ่นไม่นานพอ แล้วก็ได้ลองชิมคุกกี้หลายรส(เค้ามีให้ชิม) แนะนำคุกกี้นิ่มรสช็อกโกแลตชิพเข้มข้นอร่อยไม่แพ้ คุกกี้แบรนด์ดังที่ขายในเซ็นทรัลสัญลักษณ์หมีชุดแดงเลยทีเดียว
อิ่มแล้วเดินกลับไปในซอยโรงแรมที่พักของเรา 11 โมงมีเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าเก็บของชาร์ตแบตเตอรี่กล้องและมือถือ แล้วเช็คเอาท์เวลาเที่ยงตรง ทางเจ้าหน้าที่เรียกรถบริการมาส่งหน้าปากซอยเราก็เรียกรถแดงต่อไปนั่งเล่นหาเครื่องดื่มเย็นๆกินอีกแล้วจากฝั่งตลาดวโรรสข้ามสะพานนวรัฐไปเลี้ยวขวาติดกับร้านวีทีแหนมเนืองชื่อดัง(เสียดายไม่ได้ลองเพราะค่อนข้างอิ่ม) มีร้านกาแฟชื่อ Motto Cafe' เห็นเป็นร้านแนะนำในเว็บเชียงใหม่หลายๆเว็บเลยเข้ามาดูซะหน่อย ร้านตกแต่งเน้นสีชมพู มีทั้งส่วนห้องธรรมดาและห้องปรับอากาศ มี wifi free ชั้นบนมีห้องปรับอากาศที่เปิดช่วงเช้าถึงบ่ายสามโมง เราไปสั่งเครื่องดื่มและเค้กแล้วไปนั่งชั้น 2 มีมุมปลั๊กไฟให้เสียบโน้ตบุคได้ตามสบาย ก็เป็นอีกจุดนัดพบหากใครจะมาแถวนี้หรือนั่งรอเวลาค่ะ เมนูที่สั่งมาลองคือ บลูโซดา กีวี่โยเกิร์ตปั่น และ Motto Lover (สตรอเบอรี่มูสเค้ก) รสชาติดีค่ะ
นั่งทานเครื่องดื่มอ่านหนังสือชาร์ตแบตเตอรี่ทานเค้กหมด เราก็เรียกรถตุ๊กตุ๊ก เหมาไป 80 บาท ไปส่งที่เซ็นทรัล แอร์พอร์ตเพื่อเดินเล่นรอขึ้นเครื่อง ใกล้เวลาชักหิวก็ขึ้นไปชั้น 4 ไปสั่งส้มตำปูกับ ตำหมูยอทานรองท้องพี่เค้าตำได้เลิศจริงๆขอบอก อิ่มแล้วต่อรถแดงคนละ 20 บาทเพื่อไปสนามบิน ทำเว็ปเช็คอินมาตั้งแต่ตอนออกจากสุวรรณภูมิแล้ว Boarding Pass พร้อม ก็มีเวลาเดินเล่น ใกล้เวลาไปรอหน้า Gate ก็ขอใช้สิทธิ์ Serenade ของ AIS รับเครื่องดื่ม Black Canyon ฟรีซักหน่อยก่อนขึ้นเครื่อง จบแล้วค่ะสำหรับทริปเชียงใหม่ 2554 หวังว่าคงมีประโยชน์กับเพื่อนๆกันบ้าง Bye Bye เชียงใหม่ แล้วเราจะกลับมาอีก (เที่ยวเชียงใหม่ภาคเดิม คลิก-->> ทริปเชียงใหม่ปี 2553 )
4 ก.ค. 2566
24 ต.ค. 2566
30 ก.ย. 2562
28 ก.ค. 2562